วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

ดาวพลูโต

ดาวพลูโต (โมโนแกรม:สัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์ของดาวพลูโต ) เป็นดาวเคราะห์แคระในระบบสุริยะ อยู่นอกวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป ในบริเวณแถบไคเปอร์ มีขนาดเล็กกว่า ดาวบริวาร 7 ดวงในระบบสุริยะ (ดวงจันทร์ของโลก ไอโอ ยูโรปา แกนีมีด คัลลิสโต ไททัน และไทรทัน) ดาวพลูโตมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2,390 กิโลเมตร มีดาวบริวาร 5 ดวง ได้แก่ แครอน (มีขนาดประมาณ 1/5 ของพลูโต) นิกซ์ ไฮดรา (สองดวงนี้ ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2548) เคอร์เบอรอส (S/2011 P 1, ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2554) และ สติกซ์ (S/2012 P 1, ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2555)
พลูโตเป็นเทพเจ้าแห่งเมืองบาดาลในเทพนิยายโรมัน หรือที่ในเทพนิยายกรีกเรียกว่าเฮดีส สันนิษฐานว่าสาเหตุหนึ่งที่ตั้งชื่อดาวดวงนี้ว่า พลูโต ก็เพื่อให้มีตัวอักษร "P-L" ในชื่อ เพื่อเป็นเกียรติแก่เปอร์ซิวัล โลเวลล์ ในภาษาไทยอาจเรียกพลูโตว่า ดาวยม หมายถึง ยมโลก หรือ นรก ซึ่งก็มีความหมายพ้องกับชื่อพลูโตหรือเฮดีสในเทวตำนานตะวันตก

การค้นพบพลูโต

ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2473 โดยบังเอิญ มีการคำนวณหาตำแหน่งดาวเคราะห์ดวงใหม่ถัดจาก ดาวเนปจูนโดยใช้ฐานข้อมูลการเคลื่อนที่ของดาวยูเรนัสและดาวเนปจูน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งไคลด์ ทอมบอ (Clyde Tombaugh) แห่งหอดูดาวโลเวลล์ในรัฐแอริโซนา ได้ทำการสำรวจท้องฟ้า และพบดาวพลูโตในที่สุด
ขณะนั้นถือว่าดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด และเป็นดาวเคราะห์ดวงเล็กที่สุด เป็นเวลา 76 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2473-2549
หลังจากที่ได้ค้นพบดาวพลูโตแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันว่า ขนาดของดาวพลูโต เล็กเกินกว่าที่จะรบกวน วงโคจรของดาวเคราะห์ดวงอื่นได้ จะต้องมีดาวเคราะห์ดวงอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่า จึงจะรบกวนดาวเนปจูนได้ ดังนั้นการค้นหาดาวเคราะห์ X จึงมีขึ้นต่อไป แต่ก็ไม่มีสิ่งใดถูกค้นพบเพิ่มเติม จนกระทั่ง ยานวอยเอเจอร์ 2 ได้ข้อมูลด้านมวลสารของดาวเนปจูนเพิ่มเติม ข้อถกเถียงดังกล่าวจึงหมดไป โดยไม่จำเป็นต้องมีดาวเคราะห์ดวงที่ 10
อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษล่าสุดมีการค้นพบ วัตถุที่คล้ายดาวพลูโตมากมาย ในบริเวณเดียวกับดาวพลูโตที่เรียกว่า แถบไคเปอร์ และดาวพลูโตก็มีลักษณะไม่สอดคล้องกับกำเนิดของดาวเคราะห์อย่างดาวเคราะห์ก๊าซหรือดาวเคราะห์หิน นำมาสู่หัวข้อในที่ประชุมสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ที่กรุงปราก


หลุมดำ (black hole)

หลุมดำ (อังกฤษ: black hole) หมายถึงเทหวัตถุในเอกภพที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมาก ไม่มีอะไรออกจากบริเวณนี้ได้แม้แต่แสง เราจึงมองไม่เห็นใจกลางของหลุมดำ หลุมดำจะมีพื้นที่หนึ่งที่เป็นขอบเขตของตัวเองเรียกว่าขอบฟ้าเหตุการณ์ ที่ตำแหน่งรัศมีชวาร์สชิลด์ ถ้าหากวัตถุหลุดเข้าไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ วัตถุจะต้องเร่งความเร็วให้มากกว่าความเร็วแสงจึงจะหลุดออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่วัตถุใดจะมีความเร็วมากกว่าแสง วัตถุนั้นจึงไม่สามารถออกมาได้อีกต่อไป
เมื่อดาวฤกษ์ที่ มีมวลมหึมาแตกดับลง มันอาจจะทิ้งสิ่งที่ดำมืดที่สุด ทว่ามีอำนาจทำลายล้างสูงสุดไว้เบื้องหลัง นักดาราศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า "หลุมดำ" เราไม่สามารถมองเห็นหลุมดำด้วยกล้องโทรทรรศน์ใดๆ เนื่องจากหลุมดำไม่เปล่งแสงหรือรังสีใดเลย แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์วิทยุ และคลื่นโน้มถ่วงของหลุ่มดำ (ในเชิงทฤษฎี โครงการ แอลไอจีโอ) และจนถึงปัจจุบันได้ค้นพบหลุมดำในจักรวาลแล้วอย่างน้อย 6 แห่ง
หลุมดำเป็นซากที่สิ้นสลายของดาวฤกษ์ที่ถึงอายุขัยแล้ว สสารที่เคยประกอบกันเป็นดาวนั้นได้ถูกอัดตัวด้วยแรงดึงดูดของตนเองจนเหลือ เป็นเพียงมวลหนาแน่นที่มีขนาดเล็กยิ่งกว่านิวเคลียสของอะตอมเดียว ซึ่งเรียกว่า เอกภาวะ
หลุมดำแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ หลุมดำมวลยวดยิ่ง เป็นหลุมดำในใจกลางของดาราจักร, หลุมดำขนาดกลาง, หลุมดำจากดาวฤกษ์ ซึ่งเกิดจากการแตกดับของดาวฤกษ์, และ หลุมดำจิ๋วหรือหลุมดำเชิงควอนตัม ซึ่งเกิดขึ้นในยุคเริ่มแรกของเอกภพ



แม้เราจะมองไม่สามารถมองเห็นมันได้ แต่หลุมดำก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและน่ากลัวมากเสียด้วย เพราะมันมีพลังมากพอที่จะดูดกลืนทุกสิ่งที่เข้าไปอยู่ในรัศมี ชนิดที่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งไหนก็ไม่สามารถหลุดรอดไปได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งน้ำหรือแสง ซึ่งตอนนี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่านอกจากบนอวกาศแล้ว บนโลกของเราก็มีหลุมดำอยู่ด้วย

           เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2556 เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์พบวังน้ำวนพลังงานมหาศาลซ่อนตัวอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก มีพลังและมีรูปแบบเดียวกับหลุมดำที่อยู่ในห้วงอวกาศ

           รายงานระบุว่า หลุมดำที่ว่านี้อยู่ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นน้ำวนขนาดยักษ์ และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอีทีเอช ซูริค และมหาวิทยาลัยไมอามี่ เชื่อว่ามันดูดกลืนน้ำแบบเดียวกับที่หลุมดำในห้วงอวกาศดูดกลืนแสง อย่างไรก็ตาม การจะสรุปว่านี่เป็นแค่น้ำวน หรือเป็นหลุมดำที่ซ่อนตัวอยู่บนโลก ยังคงเป็นปริศนาที่ไม่อาจกล่าวได้แน่ชัด